“มหา-สมุด” โฮมสตูดิโอ
เครื่องหนังทำมือ สโลว์บาร์และคราฟท์คาเฟ่ โดยคู่รักนักออกแบบ “เจ X ทราย

ท่ามกลางแมกไม้น้อยใหญ่นานาพรรณ “มหา-สมุด” โฮมสตูดิโอ แฝงตัวเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนบ้านนาราชควาย ในอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม ได้อย่างผสมผสานและกลมกลืน จากสมุดทำมือในห้องพักหลังเล็กที่“กรุงเทพฯ” ในวันวาน สู่การงานและชีวิตที่ “นครพนม” ในวันนี้ ด้วยความรัก ความผูกพันเมื่อครั้งเยาว์วัย ล้วนเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ทั้งสอง ‘เจ-เจษฎา แก้วบุดตา’ และ ‘ทราย-จุฑามาศ แก้วเรือนศิลป์’ เลือกที่จะกลับบ้าน
ก่อนจะเป็น “มหา-สมุด”
ทั้งสองคนบอกว่าตัวเองเป็นเด็กต่างจังหวัด “ทราย” โตที่โคราช ในขณะที่ “เจ” เกิดและเติบโตที่บ้านนาราชควายแห่งนี้ กลิ่นดิน ฟอนฟาง และท้องทุ่งนา เป็นความทรงจำในวัยเด็กที่ “เจ” ยังจำได้ไม่เคยลืม
“ต้องไปทุ่งนาก่อนไปโรงเรียน แล้วก็ช่วยทางบ้านเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย แถวนาก็จะมีหนองน้ำ เด็กรุ่น ๆ เดียวกันก็จะไปเล่นน้ำด้วยกัน ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ส่วนในเมืองนครพนมเมื่อสัก 30 ปีก่อน ตอนนั้นทุกคนใช้ชีวิตเรียบง่ายมาก ไม่ได้เป็นเมืองที่เน้นการท่องเที่ยวขนาดนี้” ส่วน “ทราย” ด้วยความที่ไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนในวัยเด็ก เธอจึงไม่เคยรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองนครพนมมาก่อน จนกระทั่งได้เดินทางมาที่นครพนมเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2550
“ตอนนั้นนั่งรถทัวร์มา พอผ่านเส้นทางภูพาน ก็โอโห…สวยมาก ยิ่งพอพี่เจพาไปที่ริมโขงก็บอกกับตัวเองเลยว่าจะมีที่ไหนที่สวยได้อย่างนี้อีก อยากมาอยู่ที่นี่จัง” เมื่อย่างเข้าสู่วัยทำงาน ทั้งสองก็ได้เป็นสถาปนิกตรงตามสายงานที่จบการศึกษามา วันเวลาเดินทางผ่านไป จากเช้าเป็นค่ำ จากวันนี้เป็นเมื่อวาน จากเมื่อวานกลายเป็นอดีต เมื่อมองย้อนกลับไป ทั้งสองก็พบว่า ด้วยภาระหน้าที่การงานที่หนักหน่วงทำให้ชีวิตขาดความพอดีและสมดุลย์ จนหลงลืมและละเลยต่อผู้มีพระคุณ
“ช่วงที่อยู่กรุงเทพฯ ก็กลับมานครพนมเป็นระยะ ๆ กลับมาแต่ละครั้งก็เจอปู่ ย่า ตา ยาย ที่เลี้ยงดูเรา สภาพก็ย่ำแย่ลงไปทุกวัน บ้านก็ไม่มีคนอยู่ เราเห็นสภาพแบบนั้นซ้ำ ๆ ตอนแรกก็ยังอยากทำงานตามวิชาชีพไม่ได้คิดอะไร แต่คนที่มาจุดประกายการกลับบ้านจริง ๆ ก็คือ ทราย” “เจ” เล่าให้ฟังพร้อมทอดสายตามองไปยัง “ทราย”
“เด็ก ๆ ทรายอยู่กับตา ยาย ก็มีตา ยาย เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่บางครั้งเราก็ทำงานนึกถึงแต่ความก้าวหน้าของตัวเอง จนลืมนึกถึงคนที่ดูแลเรา ซึ่งเขาก็จะเฉาลงไปเรื่อย ๆ จนตาของทรายเสีย ก็เลยบอกพี่เจว่า กลับบ้านไปดูปู่กันเถอะ ตอนนั้นปู่ยังอยู่ ถ้าเราเสียเขาไปโดยไม่ได้ดูแล เราจะกลับไปแก้ไขไม่ได้ มันจะติดค้างอยู่ในใจเราไปตลอด ตอนนั้นประมาณปี 58 ที่เริ่มกลับมาบ้าน มาเริ่มทำสตูดิโอเล็ก ๆ ของตัวเอง”
“มหา-สมุด” ณ จุดเริ่มต้น
แบรนด์ “มหา-สมุด” เริ่มต้นจากความชอบและความหลงใหลในงานสมุดทำมือของ “ทราย” ตั้งแต่สมัยที่เธอยังเป็นสถาปนิกอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งเธอได้ใช้ช่วงเวลาว่างจากงานสถาปนิก ลงมือทำและเรียนรู้ด้วยตนเองทีละเล็กละน้อย แต่ด้วยความที่มีต้นทุนที่ดีด้านสถาปัตย์ ไม่นานเธอก็ชำนาญ มีลูกค้าสั่งซื้อสมุดบันทึกทำมือผ่านทางออนไลน์มากขึ้น จนมีรายได้ใกล้เคียงกับการเป็นสถาปนิกเลยทีเดียว
“ช่วงเริ่มต้นที่นครพนม บริเวณตรงนี้เป็นห้องเก็บของของพ่อ เราก็ใช้พื้นที่นี้ทำงานเครื่องหนังก่อน พองานเผยแพร่ลงโซเชียลก็จะมีนิตยสารติดต่อมาขอถ่ายรูป มาชวนไปออกบูธต่าง ๆ บ้าง ก็เริ่มเป็นที่รู้จัก แต่คนรอบ ๆ ชุมชนหรือในจังหวัดเองก็ไม่รู้จักเรา เหมือนเรามีลูกค้าและเป็นที่รู้จักบนโลกออนไลน์มากกว่า ตอนนั้นสินค้า นอกจากสมุดเราก็เริ่มที่จะทำกระเป๋าสะพาย กระเป๋าสตางค์ แล้วก็ค่อย ๆ ต่อยอดไปเรื่อย ๆ สู่เครื่องหนังที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ที่ทรายคิดว่าขายดีก็จะมีสมุดแบบที่เรียบง่าย ไม่ต้องโชว์เทคนิคการเย็บอะไรเยอะ แล้วอีกอย่างก็คือกระเป๋าสะพายรุ่น Mini Leather ลูกค้าจะชอบความเรียบง่าย ใช้งานได้จริง” เจ กล่าวเสริมว่า


“ต้องย้อนกลับไปวัยเด็ก ปู่ของผมก็มีทักษะทำเครื่องจักรสานเกือบทุกอย่าง ด้วยความใกล้ชิด เราก็ต้องช่วยจับ ช่วยทำโน่น ทำนี่ มันเป็นเหมือนการบันทึกฝึกฝนไปในตัว อย่างปู่เขาก็ไม่ได้บังคับ แค่ให้ลองทำดูว่าทำได้ไหม ดีแล้วหรือยัง ให้โอกาสเราได้คิดเอง อีกอย่างคือ พอเราเอาความรู้ทางสถาปัตย์มาจับก็ได้คิดวิเคราะห์ว่า แบบที่เราทำนี้ มันลงตัวสวยงามแล้วหรือยัง มันก็ทำให้กระบวนการทำงานมันเสริมกัน”
“มหา-สมุด” สู่
สโลว์บาร์และคราฟท์คาเฟ่
จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในชีวิตของทั้งสอง คือ การเข้ามาของสมาชิกใหม่ตัวน้อย ๆ ในปี 2564 “ทราย” ในฐานะคุณแม่ของเด็กหญิงวัย 3 ขวบครึ่งเล่าให้ฟังว่า “ที่ตัดสินใจทำร้านก็เพราะมีลูก เป้าหมายก็เลยเปลี่ยนไป คือ เป้าหมายมันก็จะไม่ได้เป็นไปเพื่อสนองต่อแรงขับเคลื่อนของตัวเองเท่านั้นอีกต่อไป คือเราคงไม่สามารถหาบลูกไปออกบูธแบบเมื่อก่อนได้อีกแล้ว เราต้องลงหลักปักฐาน ตัวตนบนโลกออนไลน์ มหา-สมุด มีแล้ว แต่ตัวตนบนโลกจริงเราก็ต้องสร้างมันขึ้นมา ก็เลยคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเรามาทำกันเลยดีกว่า
” ด้วยความที่ปัจจุบันของนครพนมเป็นเมืองที่มีความเติบโตด้านการท่องเที่ยวอย่างมาก มหา-สมุด จึงได้อานิสงค์จากนักเดินทางและนักท่องเที่ยว ทำให้ร้านสโลว์บาร์และคราฟท์คาเฟ่เล็ก ๆ แห่งนี้ คักคักไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะในช่วงงานเทศกาลอย่างไหลเรือไฟ หรืองานบูชาพญาสัตนาคราช “ทราย” เล่าต่ออีกว่า

“เราชอบอะไร เราคิดว่ามันดี เราก็ทำอันนี้ขาย เราทดลองทำจนมั่นใจก่อนถึงจะทำให้ลูกค้า อย่างเมนูหมากนัดฮันนี่พริกเกลือ อันนี้เราก็ใช้สัปปะรดจากท่าอุเทน ซึ่งเป็นสัปปะรด GI (ข้อบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์) ซึ่งรสชาติของมันจะหวานฉ่ำ แล้วก็หาวิธีการตัดเลี่ยนด้วยการทาพริกเกลือที่ขอบแก้ว ตอนทำร้านก็คิดว่าอยากใช้ผลผลิตจากในจังหวัดเราเองด้วย เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า บ้านเราก็มีของดี อย่างทรายอยู่นครพนมมา 10 ปี ตอนนี้ก็คิดว่าตัวเองเป็นคนนครพนมไปแล้ว (หัวเราะ)”
เรียนรู้ สร้างสรรค์
อย่างเป็นส่วนหนึ่งของนครพนม
“เราเป็นจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งของนครพนม เราคิดว่าเราทำหน้าที่ของเราให้ดี ทำเครื่องหนังให้ดี ทำเครื่องดื่มให้ถูกปาก พอเมืองมันดี มันน่าอยู่ คนก็มาท่องเที่ยว เราตั้งหลักอยู่บนพื้นฐานของสัมมาชีพที่ดีก่อน” “เจ” เล่าถึงความรู้สึกใน
การเริ่มต้นทำพื้นที่ของตัวเองให้ดีก่อน แล้วค่อยขยายไปสู่ภาพใหญ่ของเมือง ขณะที่ทรายก็มองไปถึงภาพรวมของทั้งจังหวัดว่า หากมีหน่วยงานด้านการสร้างสรรค์เข้าไปหนุนเสริมศักยภาพไม่เฉพาะแต่แบรนด์ “มหา-สมุด” แต่หมายถึงการเกื้อหนุนให้คนรุ่นใหม่ คนในพื้นที่ สามารถสานต่อภูมิปัญญา ทั้งผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตร หรือองค์ความรู้วิชาชีพด้านหัตถกรรมพื้นถิ่น ย่อมก่อให้เกิดการขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น “คือทุกอำเภอมีของดีอยู่แล้ว ถ้ามีหน่วยงานมารองรับสนับสนุน รวบรวมผลิตภัณฑ์ของแต่ละที่อย่างจริงจัง สมมติวันข้างหน้าเรามีศูนย์การเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ แล้วรวบรวมองค์ความรู้เหล่านั้นไว้ที่เดียวได้ อย่างนี้น่าจะเป็นภาพรวมที่ดีในระดับจังหวัด”
ก่อนโบกมือและกล่าวคำล่ำลาจาก “มหา-สมุด” โฮมสตูดิโอ เรามีคำถามว่า งานของพวกเขาที่ทำอยู่ ณ ปัจจุบัน จะเป็นฐานการเรียนรู้ให้กับเด็ก และผู้คนที่สนใจได้หรือไม่ อย่างไร “เจ” ให้คำตอบที่น่าฟังว่า
มันไม่ใช่แค่ทำเครื่องหนังหรือทำอาหารเครื่องดื่ม อันนั้นก็จะเป็นการเรียนรู้ระยะสั้น แต่เราอาจจะต้องมาเรียนรู้ร่วมคล้ายกับการเรียนโมเดลที่มีชีวิตความเป็นมาตั้งแต่ก่อนจะมี มหา-สมุดว่าแต่ขั้นตอนมันมีหลักการและพื้นฐานอย่างไร ซึ่งก็เข้าสู่หลักการของอิทธิบาท 4 (ฉันทะ คือความพึงพอใจ, วิริยะ คือความเพียรพยายาม,จิตตะคือความเอาใจใส่,วิมังสาคือการไตร่ตรอง)พอเห็นตัวอย่างของเราแล้วเขาอยู่ที่ไหนก็ประยุกต์ไปใช้ในพื้นที่ของตัวเองได้ อันนี้จะถือเป็นการเรียนรู้ระยะยาว....